การตลาด
หลังจากเฝ้าดูยอดขายที่ตกต่ำลงมา 3 เดือน
เจ้าของไก่ทอดรายใหญ่ ได้โทรศัพท์หาพระสันตปาปาเพื่อขอความช่วยเหลือ
พระสันตปาปากล่าว : “พ่อจะช่วยอะไรลูกได้บ้าง”
เจ้าของไก่ทอด : “ผมอยากให้คุณพ่อช่วยเปลี่ยนบทสวดประจำวันจาก ขอบคุณพระเจ้า
ที่ประทานขนมปังให้แก่เรา เป็นขอบคุณพระเจ้าที่ประทานไก่ทอดให้แก่เรา”
“ถ้าหากคุณพ่อทำได้นะ ผมจะบริจาคให้วาติกัน 10 ล้านดอลลาร์”
พระสันตปาปาตอบ : “พ่อเสียใจนะลูก นั่นเป็นบทสวดของพระผู้เป็นเจ้า
พ่อเปลี่ยนแปลงไม่ได้หรอก”
หลังจากนั้นอีกเดือนหนึ่ง ยอดขายก็ตกต่ำลงกว่าเก่าอีก
เจ้าของไก่ทอดเริ่มเครียด จึงโทรหาพระสันตปาปาอีกครั้ง
เจ้าของไก่ทอด : “ฟังนะครับคุณพ่อ ผมต้องการความช่วยเหลือของท่านมาก
ผมจะบริจาค 50 ล้านดอลลาร์ถ้าท่านเปลี่ยน
คาถาในบทสวดจาก “ขนมปัง” เป็น “ไก่ทอด” เท่านั้นเอง “
พระสันตปาปาตอบกลับมาว่า : “ลูกเริ่มทำให้พ่อลังเลแล้วนะ
โบสถ์สามารถใช้เงินที่ลูกบริจาค ทำประโยชน์แก่สาธารณชนได้มากมาย
แต่พ่อคงต้องขอยืนกราน นั่นเป็นบทสวดของพระผู้เป็นเจ้า พ่อคงเปลี่ยนแปลงไม่ได้”
ผู้พันแซนเดอร์สต้องผิดหวังกลับไปอีกครั้ง
แต่เมื่อสองเดือนผ่านไปพร้อมกับยอดขายที่ย่ำแย่ถึงขีดสุด
เจ้าของไก่ทอด : “คุณพ่อครับ นี่เป็นคำขอร้องครั้งสุดท้าย
ถ้าพ่อเปลี่ยนคำในบทสวดจาก “ขนมปัง” เป็น “ไก่ทอด”
ผมจะบริจาคให้สำนักวาติกัน 100 ล้านดอลลาร์”
พระสันตปาปาตอบ : “ขอเวลาพ่อคิดก่อนนะ แล้วพ่อจะติดต่อกลับไป”
วันต่อมา พระสันตปาปาเรียกประชุมบิชอปทั้งหมดในคณะและเริ่มแถลงว่า
“พ่อมีทั้งข่าวดีและข่าวร้ายนะ ข่าวดีคือเจ้าของไก่ทอดกำลังจะบริจาคเงิน
ให้สำนักวาติกันของเรา 100 ล้านดอลลาร์”
เหล่าบิชอปต่างพากันปลาบปลื้มกับข่าวดีนี้
บิชอปท่านหนึ่งจึงถามถึงข่าวร้ายบ้าง พระสันตปาปาตอบ
“ข่าวร้ายก็คือ เราคงต้องยกเลิกสัญญากับบริษัทขนมปังแล้วน่ะสิ